วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

High Key

      High  Key  ภาพที่มีโทนสีอ่อนและสว่างเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นฉากหลัง ตัวแบบ หรือสิ่งแวดล้อมต่างๆควรมีโทนสีที่อ่อนและสว่างด้วย โดยปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้โทนสีสว่าง คือ แสงและอุปสรรคอย่างหนึ่งในการถ่ายภาพ High Key คือเงาที่จะเกินขึ้นเมื่อมีแสงสว่างส่องเข้าไป ความท้าทายก็คือ เราจะลบเงาเหล่านั้นได้อย่างไร การถ่ายภาพ High Key ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในสตูดิโอ (Studio) เพราะเราจะสามารถจัดแสงได้ง่าวยการการถ่ายภาพภายนอกอาคาร



เทคนิคการถ่ายภาพ High Key
      แสงส่วงจะเกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากดวงอาทิตย์หรือแสงจากสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ เทคนิคง่ายๆสำหรับการถ่ายภาพ High Key คือใช้แสงนุ่มเป็นหลักเพราะแสงแข็งจะทำให้เกิดเงาที่ค่อนข้างเข้ม และอีกอย่างหนึ่งคือการใช้แสงลบเงาของตัวแบบ เพื่อลดโทนมืดออกจากภาพ ดังนั้นเราอาจต้องการแหล่งกำเนิดหลายๆแหล่งเพื่อลดเงามืดเหล่านั้น ซึ่งอาจจะต้องใช้แสงไฟต่อเนื่องจากหลอดไฟ ซึ่งอาจจะง่ายกว่าการใช้แฟลช เนื่องจากเมื่อเราจัดวงแสงไฟแล้ว เราสามารถเห็นผลลัพท์ได้ทันทีว่าเราสามารถลบเงาที่เกิดขึ้นได้หมดหรือยัง การจัดวางไฟมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะวาแบบไว้อย่างไร และต้องการภาพแบบไหน สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงก็คือเราจะวางไฟอย่างไรที่จะสามารถลบส่วนมืดหรือเงาออกจากภาพให้เหลือน้อยที่สุด
ส่วนการถ่ายภาพนอกอาคารอาจต้องใช้ความพยายามในการหามุมที่ เมื่อตัวแบบได้รั้บแสงแล้วจะเห็นเงาขึ้นน้อยที่สุดหรือหามุมถ่ายที่จะไม่เห็นเงาในภาพ เพราะฉะนั้นเราคงต้องหาแสงที่มีลักษณะนุ่มเป็นหลักในการถ่ายภาพ และแฟลชคงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจำเป็นในการถ่ายภาพแนวนี้และอย่างลืมสวมอุปกรณ์ Bounce แฟลช เพื่อช่วยทำให้แสงนุ่มด้วย


ส่วนการถ่ายภาพนอกอาคารอาจต้องใช้ความพยายามในการหามุมที่ เมื่อตัวแบบได้รั้บแสงแล้วจะเห็นเงาขึ้นน้อยที่สุดหรือหามุมถ่ายที่จะไม่เห็นเงาในภาพ เพราะฉะนั้นเราคงต้องหาแสงที่มีลักษณะนุ่มเป็นหลักในการถ่ายภาพ และแฟลชคงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจำเป็นในการถ่ายภาพแนวนี้และอย่างลืมสวมอุปกรณ์ Bounce แฟลช เพื่อช่วยทำให้แสงนุ่มด้วย





edward steichen

Edward Steichen

 Edward J Steichen เป็นศิลปินช่างภาพ ชาวอเมริกัน เกิดและเสียชีวิต 1879-1973  ผู้ซึ่งเป็นทั้ง จิตกร ช่างภาพและ คิวเรเตอร์คนสําคัญ  เขาคือบุคคลที่พลักดันและต่อสู้เพื่อให้ภาพถ่ายนั้นเป็นงานศิลปะ เป็นผู้ทําให้เกิดนิทรรศการ The Family of man รวมถึงเป็น ทางด้าน Fashion ในปี 1920s เขาเป็นบุคคลสําคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงการถ่ายภาพแฟชั่น ซึ่งเป็นผู้มีิอิทธิพลให้ช่างภาพรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็น Hoyningen-Huene, Horst, Mapplethorpe and Avedon      


   Steichen เกิดที่ Luxembourg  March 27, 1879 เขาได้เรียน วาดภาพที่ Pio Nono College ในปี 1888 และได้ฝึกฝนเรื่องการวาดด้วยการเป็นเด็กฝึกงานกับ Milwaukee lithographing company.  หลังจากนั้นเขาใน1895 ซื้อกล้องถ่ายภาพ หลังจากนั้นสามปีต่อมา งานของเขาก็ได้เข้าไปอยู่ใน  the Second Philadelphia Salon of Pictorial Photography  ซึ่งถ้าเทียบกับยุคสมัยประวัติศาสตร์ยุคนี้อยู่ในช่วงของ Pictorial ที่พยายามทําให้ภาพถ่ายเป็นเหมือนงานศิลปะ นั้นก็คือการทําภาพให้ดูเลือนลอย ไม่ชัด เหมือนงาน Impressionismในปี 1900 เขาได้เรียนการเขียนงานที่ Paris จนได้พบกับ เพื่อนของเขาคือ  Alfred Stieglitz (ช่างภาพอเมริกันและผู้นําที่ผลัดกันภาพถ่ายให้เป็นงานศิลปะ) และทั่งคู่ได้ก่อตั้ง กลุ่ม Photo-Secession ซึ่งภายหลังกลุ่มนี้ก็ได้เกิดนิทรรศการงานศิลปะที่ชื่อว่า 291 เป็นนิทรรศการที่รวม งาน painting drawing sculpture ซึ่งมีหนึ่งศิลปินในระหว่าง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปี 1922 เขาได้ก่อนตั้ง Studio ในเมือง New York เพื่อถ่ายภาพแฟชั่นและ โฆษาให้กับล Vanity Fair และ Vogue ซึ่งจุดเปลี่ยนตรงนี้คือเขาได้ละทิ้งความนุ่ม ความเบลอของภาพที่ยุคนั้นนิยมเป็นอย่างมาก หันมาเน้นความคมชัดแลัพื้นผิว high-key เน้นลายละเอียดของภาพ ซึ่งก่อให้เกิดสไตล์ใหม่ของวงการถ่ายภาพแฟชั่น   เขาได้สร้างผลงานภาพถ่ายให้กับ Condé Nast ร่วมสองพัน original vintage print ภายในภาพนั้นมีภาพดังๆอยู่มากมายจนกลายเป็น Icon ซึ่งซึ่งส่งอิทธิพลให้แกช่างภาพ   




                 ผลงานภาพถ่ายของเขา ในชื่อชุด "gowns" ได้รับการยอมรับเป็นภาพถ่ายแฟชั่นยุคแรกของยุค Modern หลังสงครามโลกครั้งที่1 เขาได้เป็นช่างภาพของ Condé Nast , Vogue และ Vanity Fairและทางานควบคู่ไปกับงานโฆษณามากมาย    ในเดือนกุมภาพันธ์ปี2006 ผลงานเก่าของ Steichen ที่ชื่อว่า The Pond-Moonlight ได้ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงที่สุดถึง 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นภาพที่เป็นการจัดองค์ประกอบอย่างลงตัวของ สระน้า และเงาแสงจันทร์ต้นไม้ที่สะท้อนลงบนพื้นผิวน้า


jerry uelsmann

   Jerry Uelsmann
Jerry Uelsmann คือเจ้าพ่อแห่ง photomontage หรือการอัดขยายภาพด้วย negative หลายๆรูป

เจรี่เกิดเมือ ๑๑ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๓๔ ที่เมือง Detriot รัฐ Michigan ประเทศสหรัฐอเมริกา เค้าเรียนวิจิตรศิลป์ที่มหาวิทยาลัย Rochester Institute of Technology และต่อปริญญาโทในสาขาเดิมที่มหาวิทยาลัย Indiana พอเรียนจบ อายุได้ ๒๖ ปีก็ไปเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย Florida เมือง Gainesville  [1] ตอนอยู่ที่ Indiana เจรี่ได้ทำงานกับ Henry Holmes Smith ซึ่งเป็นหนึ่งในช่างภาพที่ทดลองอะไรแปลกๆมากมาย เช่น การเอาน้ำเชื่อมมาทาบนกระจกเพื่อให้แสงหักเหและเกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ [7] เจรี่เริ่มมีไอเดียใหม่ๆมากมายและเปลี่ยนวิธีการทำงานในห้องมืดจากการใช้เครื่องอัดขยายเครื่องเดียวในห้องมืดเป็นหลายเครื่อง









งานของเจรี่ได้มีแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ดังๆทั่วโลก เช่น the Metropolitan Museum of Art and the Museum of Modern Art in New York, the Chicago Art Institute, the International Museum of Photography at the George Eastman House, the Victoria and Albert Museum in London, the Bibliotheque National in Paris, the National Museum of American Art in Washington, the Moderna Museet in Stockholm, the National Gallery of Canada, the National Gallery of Australia, the Museum of Fine Arts in Boston, the National Galleries of Scotland, the Center for Creative Photography at theUniversity of Arizona, the Tokyo Metropolitan Museum of Photography, และที่ the National Museum of Modern Art in Kyoto.


Jerry Uelsmann
Journey into Night, 2006


Jerry Uelsmann: Dances with Negatives, Center for 
Photographic Art, Aug 2011.

      ในหนังสือภาพเรื่อง Dances with negatives เท็ด ออแลน เพื่อนของเจรี่และเป็น Curator ในงานแสดงภาพของเจรี่ได้เล่าให้ฟังว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในห้องมืดกับเจรี่และได้สัมผัสถึงความพิเศษของเจรี่ที่สามารถผสมผสาน negative จาก ๕๐ ปีที่แล้วกับ negative ที่เพิ่งถ่ายเมื่อสองวันก่อนได้อย่างลงตัว

ที่มา  http://yaiwp.wordpress.com/2013/12/26/jerry-uelsmann/

Time Lapse


Time Lapse  

        Time Lapse เป็นเทคนิคโดยความถี่ที่ เฟรม ภาพยนตร์ ถูกจับ (อัตราเฟรม ) ต่ำกว่าที่ใช้ในการดูลำดับเมื่อเล่นที่ความเร็วปกติ เวลาที่ดูเหมือนว่าจะย้ายได้เร็วขึ้นและทำให้การผ่านพ้นไป ตัวอย่างเช่นภาพของฉาก อาจจะจับทุกวินาทีแล้วกลับมาเล่นที่ 30 เฟรม ต่อวินาที ผลที่ได้คือเห็นได้ชัด   30 × (24 [โรง ] / 25 [ PAL ] / 30 [ NTSC ] เฟรมต่อวินาที ) ครั้งเพิ่มความเร็วถ่ายภาพตามเวลาได้รับการพิจารณา ตรงข้าม ของการถ่ายภาพ ความเร็วสูงหรือ การเคลื่อนไหวช้า



  Time Lapse  นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้นานแค่ไหนชัตเตอร์ของกล้องจะเปิดให้บริการ ระหว่างการถ่ายภาพ ของ แต่ละเฟรมของภาพยนตร์ (หรือวิดีโอ) และยังได้รับนำไปใช้กับการใช้งานของการเปิดยาว ชัตเตอร์ที่ใช้ในการถ่ายภาพยังคงในบางวงการถ่ายภาพเก่าในภาพยนตร์ ทั้งสองชนิดของไทม์สามารถใช้ร่วมกันขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของระบบกล้องที่ใช้ ยิง คืนที่ ดาวย้ายเป็นโลกหมุนต้องใช้ทั้งสองรูปแบบกาสัมผัสที่ยาวนานของแต่ละเฟรมเป็นสิ่งที่จำเป็น ที่จะ ช่วยให้แสงสลัวของดวงดาวที่จะลงทะเบียนบนแผ่นฟิล์มในห้วงเวลาระหว่างเฟรม ให้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เมื่อ หนังเรื่องนี้ ดูได้ที่ความเร็วปกติในขณะที่อัตราเฟรมของไทม์ วิธี อัตราเฟรม ปกติ เหล่านี้ " อ่อน " รูปแบบของไทม์ บางครั้งจะเรียก เพียง การเคลื่อนไหว ที่รวดเร็ว หรือ ( ใน ภาพ) ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประเภทของ เส้นเขตแดน ไทม์ นี้คล้ายกับเครื่องเล่นวิดีโอ ในไปข้างหน้า อย่างรวดเร็ว ( "SCAN " ) โหมด ชายคนหนึ่งขี่ จักรยานจะแสดง ขา สูบน้ำ คึก กะพริบ ในขณะที่เขา ผ่าน ถนนในเมือง ที่ความเร็ว ของรถแข่ง อีกต่อไปอัตราแสงสำหรับแต่ละเฟรมยังสามารถผลิตพร่าเลือนในการเคลื่อนไหว ขา ของมนุษย์, ความสูง ภาพลวงตาของความเร็ว

Low Key

ภาพแบบ Low-Key:
     ภาพโลว์คีย์จะตรงกันข้ามกับไฮคีย์ หมายถึงภาพที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพจะเป็นโซนมืด โดยเฉพาะสีดำ  การถ่ายโลว์คีย์นิยมการเล่นแสงเล่นเงา ถ้าเป็นแนว portrait, นู๊ด ก็จะเป็นแสงที่ส่องมาจากทางทิศด้านข้างซะเป็นส่วนใหญ่




      การถ่ายโลว์คีย์ไม่ใช่การถ่ายติดอันเดอร์  พื้นที่ส่วนที่เป็นส่วนสว่างยังคงได้รับแสงพอดี ในขณะที่พื้นที่ส่วนอื่นๆเป็นโซนมืด
อารมณ์ของภาพโลว์คีย์จะเป็นในแนวลึกลับ น่าค้นหา ถ้าเป็น portrait ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้นางแบบยิ้มกัน อารมณ์ของตัวนางแบบอันนี้สำคัญครับ





การเซ็ตค่ากล้อง:
- โหมดของการวัดแสงจะใช้แบบเฉพาะจุดที่ให้ความแม่นยำที่สุด โดยวัดที่จุดสว่างของแบบ
- การชดเชยแสง ภาพแบบ Low-Key จะชดเชยแสงไปทางลบ 1-2 stop
- การถ่ายภาพโลว์คีย์ นอกจากโทนภาพ เสื้อผ้า และฉากหลังแล้ว การปรับค่ากล้องส่วนอื่น คือให้เร่ง Contrast ให้มากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อให้ความแตกต่างของสีเด่นชัดขึ้น